วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

ยลโฉมบูเช็คเทียนที่วัดเฟิ่งเซียน

   


       ในประวัติศาสตร์หลายพันปีของแผ่นดินจีน มีวีรสตรีถือกำเนิดขึ้นมากมาย แต่ว่ากับสตรีที่เป็นฮ่องเต้นั้นแล้วแดนมังกรมีเพียงหนึ่งเดียว คือ จักรพรรดิหญิง อู่เจ๋อเทียน หรือที่บ้านเรารู้จักกันดีในนาม  พระนางบูเช็กเทียน พญาหงส์เหนือมังกรอันลือลั่น

       
       
                                                               พระนางบูเช็กเทียน

       สำหรับเรื่องราวชีวิตของบูเช็กเทียน ถือว่าเพริศแพร้วยิ่งกว่านวนิยายเสียอีก โดยเฉพาะเส้นทางการขึ้นครองราชย์ของนาง ที่ในหนังสือประวัติศาสตร์ถังซู (ใหม่)ได้กล่าวเอาไว้ว่า บูเช็กเทียนหลังจากถูกเรียกตัวเข้าวังเป็นนางสนมเมื่ออายุได้ 14 ปี ในตำแหน่ง ไฉเหริน (เจ้าปัญญา) ของพระเจ้าถังไท่จง แห่งราชวงศ์ถัง ครั้นพระเจ้าถังไท่จงสวรรคต บูเช็กเทียนและนางสนมกลุ่มหนึ่งได้ถูกขับออกจากวังให้ไปบวชชีอยู่ที่ วัดก่านเย่ในกรุงฉางอาน (ปัจจุบันคือเมืองซีอาน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงในยุคนั้น 
       


                                                    พระเจ้าถังไท่จง

       โดยบูเช็กเทียนมีโอกาสกลับเข้าวังอีกครั้งเมื่อพระเจ้าถังเกาจงขึ้นครองราชย์ ในตำแหน่งเจาหยี (อันดับสอง) ซึ่งถือว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางการที่เต็มไปด้วยเลือด การสังหาร และเล่ห์กลอุบาย ในการขึ้นสู่บังลังก์เป็นฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในแดนมังกร ก่อนที่นางจะสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้นแทนราชวงศ์ถัง ซึ่งบูเช็กเทียนได้สังหารทุกคนที่ขัดขวางเส้นทางแห่งอำนาจของนางอย่างเลือดเย็น
       
     

                             
                                                         พระเจ้าถังเกาจง

เรื่องนี้ หลินยู่ถัง นักประพันธ์ชื่อดังของจีน ได้เขียนไว้ในหนังสือ “ประวัติบูเช็กเทียน” ถึงสถิติการฆ่าคนอย่างมีแผนการของนางว่า พระนางบูเช็กเทียนได้ฆ่าลูกสาว ลูกชาย หลาน และเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดรวม 23 องค์ ฆ่าองค์ชายในรางวงศ์ถังแซ่หลี่ 50 องค์ ฆ่าเสนาบดีและขุนผลฝีมือดี 36 คน รวมทั้งหมด 109 คน
       
       นี่ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวด้านมืดของบูเช็กเทียน
       
       จากด้านมืดหันมาดูด้านสว่างของบูเช็กเทียนกันบ้าง 


      นางได้สร้างคุณความดีให้กับประเทศชาติมากมาย ซึ่งเรื่องที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยหนึ่งในรอยอดีตอันยิ่งใหญ่ของบูเช็กเทียนนั้นอยู่ที่ วัดเฟิ่งเซียน ซึ่งถือเป็นไฮไลท์และสัญลักษณ์สำคัญทางการท่องเที่ยว คือ ถ้ำหินหลงเหมิน หรือ ถ้ำผาหลงเหมิน ในเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน
       
     

 
วัดเฟิ่งเซียนไฮไลท์สำคัญของถ้ำหินหลงเหมินที่พระนางบูเช็กเทียนสร้างขึ้น

         ถ้ำหินหลงเหมิน ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธที่โดดเด่นไปด้วยศิลปะการแกะสลักหินอันยอดเยี่ยม โดยถ้ำแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในราชวงศ์วุ่ยจากดำริของ เซี่ยว เหวินตี้ฮ่องเต้ นอกจากนี้เซี่ยวเหวินฮ่องเต้ยังเป็นผู้สร้างวัดเส้าหลิน อีกด้วย โดยการให้ช่างแกะสลักพระพุทธรูปขึ้นที่หน้าผาแห่งนี้ 

         หลังจากนั้นถ้ำหินหลงเหมินก็มีการแกะสลักยาวนานต่อเนื่อง ก่อนที่จะสิ้นสุดลงในราชวงศ์ถังรวมระยะเวลาได้ 400 กว่าปี มีระยะทางรวมประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีผาแกะสลักประมาณ 1,300 คูหา มีโพรงแท่นบูชา 2,345 ช่อง มีศิลาจารึกสลักอักษรจีนแลบันทึกต่างๆกว่า 3,600 หลัก มีเจดีย์พุทธแกะสลักกว่า 50 องค์ มีพระพุทธรูปองค์น้อยใหญ่แกะสลักกว่า 100,000 องค์
       
       

 
         นอกจากจะมากมายด้วยพระพุทธรูปแกะสลักแล้ว ปัจจุบันถ้ำหินหลงเหมินถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งแห่งเมืองลั่วหยาง ซึ่งนอกจากจะมีรอยอดีตอันยิ่งใหญ่แล้ว ชัยภูมิของถ้ำแห่งนี้นับว่าเหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าถ้ำหินหลงเหมินมีแม่น้ำอีเหออันไหลผ่ากลาง แบ่งถ้ำหินหลงเหมินแห่งหุบเขาหลงเหมินเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตก
       
         



           มรดกโลกถ้ำหินหลงเหมิน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองลั่วหยางที่ไม่เคยร้างลานักท่องเที่ยว




ถ้ำผาหลงเหมินมีแม่น้ำอีเหอไหลผ่ากลางนับเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการท่องเที่ยว


          ทั้งสองฝั่งหันหน้าเข้าหากันและมีพระพุทธรูปแกะสลักอยู่ทั่วไป มีสะพานเชื่อม 2 ฟากฝั่ง ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งในมุมถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวในมุมสะพานสะท้อนเงาแม่น้ำ และจากสะพานหากเดินไปเรื่อยๆก็จะได้พบกับศิลปะการแกะสลักหินที่น่าสนใจมากมาย โดยที่น่าสนใจก็มี
        
         ถ้ำปิงหยัง ที่โดดเด่นไปด้วยศิลปะในยุคราชวงศ์วุ่ยที่สะท้อนรสนิยมความงามของยุคนั้นออกมาคือพระพักตร์ของพระพุทธรูปจะมีหน้ารีเป็นรูปไข่ รูปร่างดูสูงเพรียว โดยที่ถ้ำแห่งนี้ได้แกะสลักรูปเซี่ยวเหวินตี้ฮ่องเต้และไทเฮากำลังประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ 

       
         ถ้ำกู่หยัง ถือเป็นถ้ำแรกที่สร้างขึ้น ภายในถ้ำมีงานแกะสลักที่เต็มไปด้วนรายละเอียด มีโพรงแท่นบูชาพระพุทธรูป 3 ชั้น มีรูปพระศากยมุนี รูปพระศรีอาริยเมตรไตรในอิริยาบถที่แตกต่างกันไป
       
       อีกถ้ำหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือ ถ้ำพระพุทธรูปหมื่นองค์ ที่ภายในนอกจากจะมีองค์พระประธานแล้วยังมีรูปสลักพระพุทธรูปองค์เล็กขนาดนิ้วมือ ที่ว่ากันว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักที่มีขนาดเล็กที่สุดแห่งถ้ำหินหลงเหมินอยู่ที่ผนังถ้ำจำนวนกว่า 15,000 องค์ ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้ำนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันมาฆบูชาที่มีพระอรหันต์มาชุมนุมกัน 1,250 รูป
       



 ถ้ำพระพุทธรูปหมื่นองค์ที่เชื่อว่าสร้างขึ้นเพื่อรำลึกวันมาฆบูชา

       จากพระพุทธรูปที่เล็กที่สุดไปดูพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดกันบ้าง ที่วัดเฟิ่งเซียน ที่ได้เล่าไว้ในเบื้องต้นว่านี่คือรอยอดีตด้านสว่างอันยิ่งใหญ่ของพระนางบูเช็กเทียน เพราะนางได้สั่งให้ช่างสร้าง พระพุทธรูปโรจนะ ที่สูงใหญ่ที่สุดแห่งถ้ำหินหลงเหมินขึ้นมา โดยสูงถึง 17.4 เมตร มีพระเศียรสูงถึง 4 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของถ้ำหินหลงเหมิน โดยมีงานแกะสลักพระพุทธรูปและเทพเจ้าขนาดรองลงมายืนอยู่ที่ผนังถ้ำทั้ง 2 ด้าน ซึ่งงานแกะสลักที่วัดนี้ถือเป็นงานแกะสลักชุดสุดท้ายของถ้ำหินหลงเหมิน 


       สำหรับองค์พระพุทธรูปโรจนะนั้น ไม่เพียงแค่ใหญ่โตอย่างเดียวแต่ยังเป็นพระพุทธรูปที่งดงามสมบูรณ์ที่สุด มีด้วยพระวรกายที่อวบอัด มีพระพักตร์กลมดูอิ่มเอิบสมบูรณ์ ถือเป็นงานศิลปะที่สะท้อนถึงรสนิยมความงามของราชวงศ์ถังได้เป็นอย่างดี
       
         ว่ากันว่าพระพักตร์ของพระพุทธรูปโรจนะองค์นี้ก็คือใบหน้าของบูเช็กเทียนนั่นเอง!!!


เพราะว่านางเป็นคนสั่งให้ช่างสร้างขึ้นมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้ายกับกรณีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่สลักรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ไว้บริเวณยอดปรางก์ ปราสาทบายน  ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าคือใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
       
       นอกจากนี้หากดูจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ประกอบอาจเป็นไปได้ว่า บูเช็กเทียนนั้นต้องการให้ช่างแกะสลักตัวเองขึ้นมา เพราะเชื่อคำของพระภิกษุรูปหนึ่งที่กล่าวว่า นางคือพระอาริยเมตรไตรกลับชาติมาเกิด
    

   
                                           
พระพักตร์ของพระพุทธรูปโรจนะ

        เรื่องนี้จริง-เท็จอย่างไรคงต้องให้นักประวัติศาสตร์พิสูจน์กันต่อไป แต่ที่จริงแท้แน่นอนก็คือบูเช็กเทียนเป็นฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวแห่งประวัติศาสตร์ชาติจีน ที่แม้ว่านางจะจากโลกไปร่วม 1,300 ปีแล้ว แต่ว่าเรื่องราวของนางยังคงอยู่ให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไปว่า "บูเช็กเทียน" นางเป็นวีรสตรี หรือหญิงชั่วช้ากันแน่

                                               
                                             คลิปวิดิโอเกี่ยวกับพระนางบูเช็คเทียน        

    
























       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น